การใช้ Indicator ต่าง ๆ Bull Bear Power
บทความนี้เป็นบทความที่ 2 ในชุดบทความการใช้ Indicator ต่าง ๆ ในตลาด Forex ซึ่งเครื่องมือที่นำเสนอเป็นเครื่องมือที่ปรากฏอยู่ใน MT4 เป็นหลัก ซึ่งตอนนี้นำเสนอมาถึงหมวดของ Oscillator เป็น Indicator ตัวที่สอง ต่อจาก Average True Range Indicator ที่จะนำเสนอการใช้วันนี้ คือ Bull และ Bear Power
Bull และ Bear Power คืออะไร?
Indicator Bull and Bear Power มีอีกชือหนึ่งว่า Elder-Ray ซึ่งเป็น Oscillator ททที่พยายามบอกองค์ประกอบของ พลังตลาดหมีและตลาดกระทิง เป็นองประกอบร่วมของ Indicator ที่คำนวณจาก EMA หรือ Exponential Moving Average Indicator นี้คนที่สร้างคือ Alexander Elder หรือคนที่เขียนหนังสือ Come into my trading room นั่นเอง
Indicator Bull และ Bear Power เป็น Indicator คนละตัวกัน มากแล้ว Indicator 2 ตัวนี้เป็น Indicator ที่ไม่เป็นที่นิยมในกลุ่มเทรดเดอร์ในไทย เพราะว่ามันค่อนข้างใช้งานได้ยาก อย่างไรก็ตาม Indicator Bull และ Bear Power ก็เป็น Indicator ที่น่าสนใจตัวหนึ่ง เราจะมาพูดถึง องค์ประกอบของ Indicator Bull และ Bear Power กัน
รูปที่ 1 แสดง indicator Bull และ Bear Power
จากรูปที่ 1 Bull Power อยู่ด้านล่างและ Bear Power อยู่ด้านบน ลักษณะของ Indicator Bull และ Bear Power นั้นแสดงเป็น Histogram การแสงความหมายนั้นก็ง่ายมาก เราจะอธิบายทีละตัวดังต่อไปนี้
Bear Power จะแสดงอำนาจของตลาดหมี ว่ามีความแข็งแกร่งเพียงใด เมื่อเส้น Histogram นั้นอยู่ต่ำกว่าเส้นศูนย์กลาง หมายความว่าตลาดหมีกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว ถ้าเราใส่แค่ Indicator Bear Power เพียงอย่างเดียวเข้าไปในกราฟ เราจะไม่มีทางทราบได้เลยว่า Bear Power นั้นแตกต่างจาก Bull Power ยังไง คำตอบที่ท่านผู้อ่านสังเกตุได้จากในภาพก็คือ Bear Power นั้นจะมีความลำเอียงให้เกิดตลาดขาลงมากกว่า นั่นเอง หมายความว่า เราสามารถเข้าเทรดในตลาดหมีได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดสัญญาณกลับตัว
Bull Power ขณะที่ Bull Power ก็จะมีพฤติกรรมตรงกันข้ามกับ Bear Power และถ้าเราไม่ใส่ Bear Power เข้าไปเราก็จะไม่มีทางสังเกตุเห็นว่า Bull Power นั้นลำเอียงให้เกิดตลาดขาขึ้นเร็ว เมื่อเส้น Histogram สูงกว่า ค่า 0 หมายความว่าตลาดกระทิงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
การใช้งาน Indicator Bull และ Bear Power
การใช้งาน Indicator Bull และ Bear Power นั้นค่อนข้างตรงไปตรงมา คือ เมื่อเส้น Histogram สูงกว่าค่า 0.00 นั่นหมายความว่าให้ส่ง Order Buy และ ถ้าค่าต่ำกว่า 0.00 นั่นหมายความว่าให้ส่ง Order Sell
อย่างไรก็ตามมันมีความยากของการใช้งาน อยู่คือ บ่อยครั้งที่เราจะต้องเจอกับสัญญาณหลอกของ Indicator ทำให้เข้าเทรดผิดพลาด แม้ว่า Indicator Bull และ Bear Power มันจะใช้สำหรับการบอกเทรนด์ แต่มันก็แตกต่างจาก Trend Indicator ตัวอื่น ๆ อยู่ค่อนข้างมาก เนื่องจากการที่มันผันผวนสูง จนทำให้เทรนด์ของมันที่กำลังบอกเปลี่ยนไปเปลียนมาได้ตลอดเวลา ดังตัวอย่างในภาพต่อไปนี้
รูปที่ 2 แสดงเทรนด์กระทิงและหมีพร้อม ๆ กัน
ในตัวอย่างของรูปที่ 2 จะเห็นว่า เทรนด์ตลาดกระทิงใน Bear Power นั้น น้อยนิดมากจนไม่สามารถระบุเป็นเทรนด์ได้และถ้าเราใช้ Bull Power ในตลาดกระทิงนั้น มันจะให้เราเข้าเทรดตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วตกลงเราจะเชื่อตัวไหนดีกันหล่ะ
เรามีคำตอบง่าย ๆ ในการบริหารจัดการตรงนี้ เพราะเหตุนี้ทำให้ Bull และ Bear Power เป็น Indicator ที่น่าสนใจยังไงหล่ะครับ หากเราจะจัดลำดับการเข้าเทรด สิ่งสำคัญคือ เราอยากจะเข้าเทรดอะไร ถ้าหากเราอยากจะเทรด Long เราต้องใช้ Bull Power เข้าเมื่อมันตัดเส้น 0.00 ขึ้นไปแล้วเท่านั้น อย่านอกกฏ และ ทำกำไรเมือ่ไหร่ ก็ต่อเมื่อเส้น Bull Power มันจะตัดลงนั่นแหละ หมายความว่ามันจะเร็วมาก แม้ว่าเส้น Bull Power มันจะบอกสัญญาณขึ้นอยู่อีกก็ตาม กลไกนี้เวลาในในการส่งคำสั่งสลับกันเช่น ถ้าต้องการ ส่ง Sell ก็ใช้ Bear Power ในการเข้าเทรด และ ทำกำไรเมื่อ Bull Power ตัดขึ้นมานั่นเอง
ถึงแม้ว่าการใช้เครื่องมือ Bull และ Bear Power จะมีประสิทธิภาพสูงก็ตาม แต่ว่าเพื่อให้เกิดความมั่นใจ เราควรจะใช้ Indicator อื่นเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของสัญญาณเทรด เราสามารถใช้เครื่องมือประเภท Trend ในการบอกสัญญาณ เช่น เส้น MA 2 เส้นตัดกัน แล้วตรงกันกับการเกิดสัญญาณ Bull และ Bear Power ก็สามารถเข้าเทรดได้เลยเพราะความน่าจะเป็นของการเกิดสัญญาณกลับตัวสูงมาก หรือเราจะใช้ Indicator ประเภท Overbought และ Oversold ในการจัดการก็ได้ เช่น ถ้าสัญญาณเกิด Oversold และเกิสัญญาณร่วมระหว่าง Bull Power หมายความว่า จุดนั้นจะเกิดการกลับตัวของราคาแรงมาก ดังนั้น เราสามารถใช้ Indicator ทั้งสองแบบในการส่งสัญญาณซื้อขาย
แม้ว่าสัญญาณจะมีความน่าจะเป็นสูงแต่เราก็ควรจะต้องส่ง Stoploss เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะทำให้พอร์ทการลงทุนสูญมูลค่าอย่างรุนแรงได้นั่นเอง
ทีมงาน www. .com